เมื่อวันที่ 21-24 เมษายนที่ผ่านมา ผม (ต้นกล้า) ได้เดินทางไปร่วมงานสัมมนา ReddotRubyConf ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนับว่าเป็นงานสัมมนาเกี่ยวกับ Ruby และ Rails ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าร่วมงานสัมมนาในระดับนานาชาติ และเป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางมาประเทศสิงคโปร์

ก่อนออกเดินทางก็ได้เตรียมตัวด้วยการหาข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ทั้งข้อมูลเบื้องต้นของประเทศสิงคโปร์ กฎระเบียบ การเดินทาง ที่พัก อาหารการกิน รวมไปถึงฝึกซ้อมดูคลิปการสัมมนาในระดับนานาชาติงานอื่นๆ เพื่อฝึกทักษะการฟัง และดูแนวทางว่าเขาทำอะไรกันบ้าง

วันที่ 21 ออกเดินทาง ตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพื่อจะไปให้ถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมง เรียกได้ว่าตลอดทั้งทริปแทบไม่มีปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างเป็นไปตามข้อมูลที่ได้ศึกษามา เพียงแต่พลาดไปเรื่องหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือการเตรียมเงินบาท รู้แค่ว่าที่สนามบินมีตู้ ATM และมี Exchange ให้เราแลกเป็นเงินสกุลต่างๆ ได้ทั่วโลก เผอิญเช้าวันนั้นเดินหาตู้ ATM ของธนาคารกสิกรไทยทั่วทั้ง 3 ชั้นแล้วแต่ไม่พบ พบแต่ตู้ของ SCB และ TMB จึงเกิดความคิดว่าควรไปจัดการเรื่องหนังสือเดินทางก่อน แล้วค่อยไปจัดการเรื่องเงินต่อข้างใน เนื่องจากคราวก่อนที่ไปกัมพูชา ได้ไปเดินเตร็ดเตร่ข้างในอยู่หลายชั่วโมง จำได้ว่าข้างในอลังการมาก มีห้างร้านอะไรต่อมิอะไรมากมาย พอดีกับเช้าวันนี้มีคนเข้าแถวรอผ่านด่าน ตม. เยอะมาก จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าต้องรีบผ่านจุดนี้ไปก่อน ระหว่างต่อแถวตรวจหนังสือเดินทาง เพื่อความมั่นใจก็ได้สอบถามผู้โดยสารท่านอื่นว่าข้างในมีตู้ ATM กับ Exchange ไหม เขาบอกว่ามี ผมก็เลยปลงใจ แต่กว่าที่จะรู้ว่าหลังเส้นพรมแดนที่ ตม. คั่นอยู่นั้นเป็นดินแดนศักด์ิสิทธิ์มันก็สายไปเสียแล้ว เมื่อพบว่าข้างในมีแต่ตู้ ATM ของ SCB สามารถกดเงินได้ 3 สกุล คือ USD, GBP, EUR แต่ต้องใช้บัตร SCB หรือบัตรเครดิต VISA, MasterCard เท่านั้น สอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคาร ได้คำตอบว่าข้างในนี้ไม่มีเงินบาทค่ะ และตัวอักษร VISA ขนาดใหญ่เบ้อเริ่มบนบัตร K-BANK ของผมก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าบัตรเดบิต ATM ที่รับรองโดย VISA เจ้าหน้าที่ธนาคารให้ลองไปคุยกับเจ้าหน้าที่สนามบินดู สอบถามเจ้าหน้าที่สนามบิน ได้คำตอบว่าให้ไปขออนุญาต ตม. ออกไปกดข้างนอกค่ะ สอบถาม ตม. ได้คำตอบว่าผ่าน ตม. เข้ามาแล้ว ไม่สามารถออกไปได้ค่ะ … ในขณะที่มีเงินบาทของราชอาณาจักรไทยติดอยู่ในกระเป๋าเพียง 400 บาท เข้าใจถึงความรู้สึกของการสูญเสียเอกราชและอธิปไตยขึ้นมาจับใจ

เทพีแห่งโชคชะตายังเข้าข้างอยู่บ้าง เมื่อพบว่าผมยังเก็บบัตร ATM ของ SCB ที่ไม่ได้กดใช้เลยปีกว่าๆ อยู่ในกระเป๋าสะพายตรงช่องที่ไม่ค่อยได้เปิดดู โชคดีที่ยังไม่ทิ้ง แถมยังเก็บไว้กับตัวอีก โชคดีที่พกโทรศัพท์มาด้วย โชคดีที่แบตยังเหลือ โชคดีที่โทรไปแล้วปลายสายรับตอนตีห้ากว่าๆ โชคดีที่เขาหาสมุดบัญชีธนาคารของบัตร ATM ใบนั้นเจอ โชคดีที่เขามีเงินพอดีกับที่ผมจำเป็นต้องใช้ …. สุดท้ายก็รอดตาย กดเงินออกมาได้ $200 USD เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่าให้ไปแลกเป็น SGD ที่ปลายทางค่ะ

บรรยากาศภายในเมือง

บรรยากาศภายในเมือง

ถึงสิงคโปร์โดยสวัสดิภาพ หาทางมาขึ้น MRT เพื่อที่จะเข้าเมือง ตรง Terminal 2 ซื้อตั๋วรถ เปลี่ยนขบวนรถ เรื่อยมาจนถึงเข้าพักที่ ABC Hostel เจอรับน้องภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ไม่มีเสียง พี, ที ของพนักงานต้อนรับ ต่างคนต่างงง เขาถามผมว่ามาจากเวียดนามเหรอคะ? … ทุกอย่างขลุกขลักเล็กน้อยแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนบ่ายวันที่ 21 เลยถือโอกาสเดินสำรวจเส้นทางไปยัง SMU (Singapore Management University) สถานที่ที่จะมีงานสัมมนาพรุ่งนี้

อากาศที่สิงคโปร์ร้อนอบอ้าว เหงื่อหยดเป็นเม็ดๆ จนรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา พอดีกับที่เห็นร้าน 7-11 อยู่ตรงหน้า คิดว่าถ้าได้น้ำอัดลมเย็นๆ สักกระป๋องคงจะดีไม่น้อย แต่พอเห็นป้ายราคาแล้วก็ทำใจไม่ลง สุดท้ายได้เพียงน้ำเปล่า 500 มล. 50 บาท มาดับกระหาย ส่วนสภาพบ้านเมืองเขานั้นสะอาดสะอ้านแลดูเป็นระเบียบเอามากๆ ต้นไม้ใหญ่มีมากพอๆ กับตึกสูงระฟ้า ผู้คนก็มีระเบียบวินัยดี ข้ามถนนตรงทางข้าม รอสัญญาณไฟ ไม่มีแผงลอย ไม่มีขอทาน รถไม่ติด ระบบขนส่งมวลชนดีมากถึงมากที่สุด บัตร Ezy-link บัตรเดียว ใช้ได้ทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า แถมระบบขนส่งต่างๆ เชื่อมถึงกันหมดทั้งเกาะ มีป้ายบอกทางภาษาอังกฤษ สัญญาณไฟอะไรต่างๆ นานา สิ่งที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งคือคนส่วนใหญ่ที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ หากเราพออ่านภาษาอังกฤษได้บ้าง พูดเยสโนโอเคได้ประปราย รับรองว่าจะไม่มีการหลงทางหรืออดตายในสิงคโปร์อย่างแน่นอน โดยรวมแล้วสิงคโปร์เป็นเมืองที่น่าอยู่มากเมืองหนึ่ง มีความทันสมัยและระเบียบวินัยอย่างที่เมืองใหญ่ควรจะมี ผมคิดว่าที่นี่เหมาะกับคนที่ชอบชีวิตสังคมเมือง ชอบความสะดวกสบาย ชอบความทันสมัย และที่สำคัญคือชอบใช้เงิน

อาหาร

อาหาร

พอเริ่มหิวก็กวาดสายตามองหาร้านอาหาร เริ่มต้นที่ “Yong Tau Fu” น่าจะออกเสียงใกล้เคียงกับ “เย็นตาโฟ” บ้านเรา ตกชามละประมาณ $4 SGD ซึ่งถือว่าราคามาตรฐาน โดยเขาจะมีตู้โชว์วัตถุดิบให้เราเลือกได้มากกว่า 30 อย่าง ผมก็งงๆ ว่าต้องทำยังไง จึงลองสปีคอิงลิชกับป้าแม่ค้า เสี้ยววินาทีนั้นไม่ต้องหวังเรื่องแกรมม่า เรื่องเท้นส์อะไรทั้งสิ้น แค่มีคำศัพท์โผล่ขึ้นมาในหัวก็บุญโขแล้ว ป้าแม่ค้าบอกว่าให้เลือกวัตถุดิบได้ 7 อย่าง ถ้าอยากจะใส่เส้นหมี่หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ให้บอก ผมรู้สึกชอบเจ้า Yong Tau Fu ขึ้นมาทันที เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีอิสระที่จะเลือก

ตึก SMU

ตึก SMU

หลังจากสำรวจ SMU จนพอใจแล้ว เส้นทางสำรวจของผมก็ไปจบลงที่ Fort Canning Park สวนสาธารณะซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา มีต้นไม้ใหญ่และพันธุ์พืชอุดมสมบูรณ์มาก ต้นไม้แต่ละต้นถูกปกคลุมด้วยมอสและเฟิร์นจนเขียวชะอุ่ม บางต้นใหญ่มากจนถูกตั้งชื่อว่า “Heritage Tree” จุดสูงสุดของสวนเป็นเขตห้ามเข้า เนื่องจากอดีตเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ผู้ปกครองสิงคโปร์องค์สุดท้าย เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นความเจริญของเมืองโอบล้อมเนินเขาอันร่มครื้มแห่งนี้ เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของต้นไม้ใหญ่และตึกสูง ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงกรุงเทพฯ

Fort Canning Park

Fort Canning Park

เช้าวันที่ 22 ออกเดินทางไป SMU ใช้เวลาเดินทางจากที่พักมาถึงที่นี่ราวครึ่งชั่วโมง มาถึงเร็วกว่ากำหนด แล้วบรรยากาศที่ผมไม่ชอบก็เริ่มต้นขึ้น นั่นคือทุกคนจะต้องมาจับมือ ทักทาย แนะนำตัว และตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องของตัวเอง นักพัฒนาในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากันเกือบทุกประเทศ ที่ขาดไปรู้สึกจะมีแค่พม่ากับลาว ประเทศไทยมีไปสองคน กัมพูชา 6 เวียดนาม 10 มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แต่ละประเทศเกิน 20 เมื่อรวมฝรั่งด้วยแล้ว วันแรกมีคนเข้าร่วมงานราว 240 คน ตอนฟังคนอื่นพูดนั้นไม่เท่าไหร่ เอาแค่พอจับใจความได้ แต่พอเขาถามเรานี่สิ ต้องคอยตั้งสติให้เต็มร้อย เพราะบางทีฟังไม่ทันว่าเขาถามอะไร ต้องคอย what, sorry, pardon me อยู่บ่อยๆ คราวหนึ่งเดินสวนฝรั่งตอนฉุกละหุก เขาถามอะไรก็ฟังไม่ทัน รู้แค่ว่ามันเป็นคำถาม Verb to do ที่ต้องการคำตอบ Yes หรือ No ครั้นจะถามย้ำก็ไม่ทันซะแล้ว จะตอบ Yes ก็ไม่กล้า จะตอบ No ก็ไม่มั่นใจ เลยตอบ I’m not sure ฝรั่งเดินผ่านไปพร้อมทำหน้างงๆ พอเสร็จธุระแล้วกะจะมาขอให้เขาถามซ้ำ ปรากฏว่าจำหน้าไม่ได้แล้ว รู้สึกว่าฝรั่งหน้าเหมือนกันหมด ฮา

กำหนดการงานสัมมนา ReddotRubyConf

ตามกำหนดการ ต้องเริ่มจาก “Future of Ruby” โดยศาสดาผู้สร้าง Ruby คือ Yukihiro Matsumoto (Matz) แต่เผอิญว่าเขายังมาไม่ถึง นักพัฒนาจาก Pivotal Labs บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับทำ Agile Development ชื่อดัง Pivotal Tracker จึงขึ้นพูดแทน เขาอธิบายถึงกระบวนการ (Methodology) ที่่เขาใช้อยู่ในบริษัท ซึ่งก็คือ Agile Development อันได้แก่ Pair Programming, Test-Driven Development, Refactoring, Release Cycle รวมไปถึงบรรยากาศการทำงานในบริษัทที่ดูมีพลังมาก สัมผัสได้ถึง “Work Hard, Play Harder” ตอนทำงานก็จริงจังมาก เช่น Pair Programming จะให้นักพัฒนาสองคนทำงานด้วยกัน ใช้เดสก์ท็อปเครื่องเดียว จอใหญ่ๆ จอเดียว สองคีย์บอร์ด ระหว่างที่ทำ Pair Programming อยู่นั้นห้ามไม่ให้เช็คอีเมล หรือเล่น Social Network อื่นใด นักพัฒนาที่ทำ Pair Programming จะไม่อนุญาตให้ใช้แลบท็อป แต่จะมีเครื่องสำหรับให้เช็คอีเมลต่างหาก ถ้าจะโทรศัพท์ต้องไปคุยในตู้ที่ทำไว้เฉพาะ ฯลฯ ส่วนเวลาพักเขาก็เต็มที่ มีห้องกีฬา สันทนาการ อาหาร เครื่องดื่มให้ตลอดเวลา อ้อ ถ้าผมฟังไม่ผิด เขาบอกว่าจะต้องมีขนมและเครื่องดื่มไว้ให้นักพัฒนาหยิบได้สะดวกๆ ตอนทำ Pair Programming ด้วยนะ

ถ่ายรูปคู่กับ Yukihiro Matsumoto

ถ่ายรูปคู่กับ Yukihiro Matsumoto

จากนั้นท่านศาสดา Matz มาพูดเรื่องอนาคต Ruby โดยบอกว่าจะเน้นไปที่ Multilingualization (M17N), Ruby Virtual Machine ตัวใหม่ และ Embedded Ruby ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ซ้อมฟังคลิปท่านศาสดามาเยอะพอสมควร ทำให้เซสชั่นนี้เป็นเซสชั่นที่ฟังเข้าใจมากที่สุด พอพักเบรกจึงไปขอถ่ายรูปกับท่านสักรูปหนึ่งไว้เป็นที่ระลึก

พักเที่ยงมีอาหารไทย ต้มยำกุ้ง ทอดมันปลากราย น้ำตะไคร้ ฯลฯ ส่วนเครื่องดื่มมีเป๊บซี่กับกาแฟเป็นหลัก ที่เด็ดสุดๆ ก็เห็นจะเป็นกระทิงแดงครับ คนแย่งกันแบบไม่มีใครยอมใคร กินเสร็จแล้วก็มาตั้งวงคุยกันต่อ ผมรู้สึกว่าคุยกับนักพัฒนากัมพูชาได้อรรถรสที่สุด ทั้งนี้เพราะผมฟังเขาพูดออก สักพักก็มีลูกครึ่งไทย-จีน แต่ไปโตที่อเมริกา ชื่อคุณ Steven เข้ามาพูดคุยด้วย เขาฟังและพูดภาษาไทยได้ดีพอสมควร เวลาผมพูดแล้วเขาไม่เข้าใจ เขาก็จะบอกว่าคุณพูดภาษาไทยก็ได้นะ ฮา

ช่วงบ่ายจะหนักไปทาง Agile Development ซะเยอะ จนดูเหมือนจะเป็นงาน AgileConf มากกว่า RubyConf คิดว่าผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆ ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับผม เปิดช่วงบ่ายมา ท้องอิ่ม สติพร่อง พลอยทำให้ parser ภาษาอังกฤษชำรุด ฟังฝรั่งพูดแล้วไม่สามารถแยกแยะคำศัพท์ได้ เลยต้องอาศัยอ่านสไลด์เอาแทน มีอยู่เซสชั่นหนึ่ง คนพูดฮามาก ยิงมุขเป็นว่าเล่น คนฟังก็หัวเราะกันตรึม ไอ้เราก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ฟังไม่เข้าใจ บางทีเข้าใจแต่ก็ไม่รู้ว่ามันฮาตรงไหน

บรรยายกาศบ้านเมือง

บรรยายกาศบ้านเมือง

หลังเสร็จงานวันแรก ผมลองไปเดินเตร็ดเตร่ในห้างแถวนั้นดู ซึ่งแถวนั้นมีห้างเยอะมาก เต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นเหมือนที่กรุงเทพฯ ความเจริญก็ไม่ต่างจากสยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิร์ล จนผมรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เลยออกไปเดินเล่นแถวตรอกซอยระหว่างทางเดินกลับที่พัก โลกข้างนอกตื่นเต้นกว่าเยอะ หอสมุดแห่งชาติ (National Library Board of Singapore) ที่นี่อลังการงานสร้างสุดๆ (แถมเว็บไซต์ก็ดูดีน่าใช้งาน) สูงใหญ่ตั้งตระหง่าน จนกล้อง Canon S95 เลนส์ 28mm ของผมเก็บไม่หมดในรูปเดียว เห็นประตูผ่านเข้าออกที่ใช้บัตรสมาร์ทการ์ด มีตู้คืนหนังสืออัตโนมัติ 24 ชม. ขึ้นป้ายตัวใหญ่ว่าในหอสมุดตอนนี้มีอะไรให้สืบค้นบ้าง พร้อมกับเชิญชวนให้คนเข้าไปใช้บริการ ที่สำคัญที่สุดคือเห็นคนมาใช้บริการเยอะมาก โดยเฉพาะวัยรุ่น สังเกตเห็นอีกอย่างคือคนที่นี่ใช้ iPad กันหนาตา เช่นเดียวกับคนสูบบุหรี่ ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนเดินออกมาจากที่นั่นคือ ผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าหอสมุด พร้อมๆ กับเล่น iPad

ผมรู้สึกว่ากลางคืนของที่นี่ไม่ค่อยน่ากลัว สัญชาติญาณบอกว่ามันปลอดภัยกว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรของเรามากมายนัก แต่พวกแขกตัวใหญ่ๆ ดำๆ ก็ทำให้เรารู้สึกกลัวอยู่บ้าง ถึงกระนั้นก็ยังแอบเห็นใจเขาอยู่ในที เพราะสังเกตเห็นว่าชนชั้นกรรมกรที่นี่มีแต่พวกแขกทั้งนั้น ระหว่างทางกลับเห็นมีแต่ร้านอาหารแขก จึงลองเดินเข้าไปสั่ง Deer Martabak มากินดูทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง คิดว่าน่าจะเป็นสเต็กเนื้อกวางสักชิ้นหนึ่ง ที่ไหนได้มันคือแป้งผสมไข่ แล้วมีเนื้อกวางสับเป็นไส้อยู่ข้างใน หนึ่งถาดใหญ่ๆ ประมาณว่ากินกัน 5 คน เสิร์ฟพร้อมกับน้ำแกงกะหรี่ มาหาข้อมูลทีหลังถึงรู้ว่ามันคือ “มะตะบะ” ที่คนไทยเรียกนั่นเอง เพียงแต่ผมไม่เคยกินมาก่อน สุดท้ายผมก็เขี่ยกินเนื้อกวางจนหมด แล้วทิ้งแป้งไว้ให้แขกเจ็บใจเล่น

มะตะบะ

มะตะบะ

วันที่ 23 เปิดงานด้วย Dave Thomas โปรแกรมเมอร์รุ่นเก๋าคนหนึ่ง ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักพิมพ์ Pragmatic Programmer (PragProg) ที่เน้นการตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ Ruby และ Rails โดยเขาเปรียบเทียบว่า Ruby ก็เหมือน Singlish แม้จะทำความเข้าใจได้ยากในหลายกรณี (เขายกตัวอย่าง m/n/o แล้วเว้นวรรคระหว่าง / ในลักษณะต่างๆ กัน จะทำให้ Ruby Interpreter ตีความได้หลายกรณีมาก) แต่สุดท้ายก็ … Okay Lah (เลียนแบบสำเนียง Singlish) จากนั้นก็เริ่มมหกรรมแซว AgileConf เมื่อวานกันทันที เริ่มจาก Tom Preston-Werner ผู้ร่วมก่อตั้ง Github.com บอกว่าบริษัทเขาไม่ได้ใช้ Agile ไม่มีการทำ Pair Programming ไม่ได้ใช้ Test-Driven Development อย่างที่ Pivotal Labs หรือบริษัทอื่นๆ ที่ขึ้นมาพูดเมื่อวานใช้กัน แต่บริษัทเขาทำ BDD ที่ไม่ได้หมายถึง Behavior-Driven Development นะ แต่เป็น Beer-Driven ในบริษัทมีตู้ให้กดเบียร์ฟรี กับแกล้มไม่อั้น บนโต๊ะทำงานมีขวดเบียร์ บนโต๊ะประชุมมีขวดเบียร์ จนผมนึกสงสัยว่าเขาเอาสติสัมปชัญญะที่ไหนมาเขียนโปรแกรมกัน ยังไม่พอ เขายังบอกอีกว่าที่บริษัทไม่มีชั่วโมงการทำงาน ไม่มีข้อบังคับอะไรยิบย่อย เขาเชื่อว่าทุกคนสามารถบริหารจัดการตัวเองได้ จากนั้นเขาก็แสดงโครงสร้างของ Github.com แบบคร่าวๆ โดยใช้แค่ IRB, BASH และ Git สามารถเรียกเสียงหัวเเราะและเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยไม้เด็ด โดยการแจกบัตร Free Beer ให้กับผู้ร่วมงานคนละ 2 ใบ เพื่อร่วมงาน Night Party หลังเสร็จงานเย็นนี้

ถ่ายรูปกับผู้เข้าร่วมงาน

ถ่ายรูปกับผู้เข้าร่วมงาน

เซสชั่นวันนี้พูดเรื่องเทคนิคกันค่อนข้างเยอะ รู้สึกสนุกกว่าเมื่อวาน สปีคเกอร์ที่ผมชอบอีกสองเซสชั่นคือ Gregg Pollack คนทำพ็อดแคสท์ PeepCode เรื่องเกี่ยวกับ Ruby และ Rails จำนวนมาก อีกทั้งยังเป็น contributor ให้กับโปรเจ็คโอเพ่นซอร์สอีกหลายตัว ส่วนอีกคนคือ Ryan Bigg คนเขียนหนังสือ Rails 3 in Action แถมยังเป็น contributor ให้กับโปรเจ็คโอเพ่นซอร์สอีกมากมายเช่นเดียวกัน แถมอายุยังแค่ 23 อีกต่างหาก หลังจบเซสชั่นสุดท้าย มีการแข่งขันเขียนโปรแกรมต่อ โดยบริษัท Viki เป็นผู้สนับสนุนรางวัลใหญ่ คือ MacBook Air โดยผู้ชนะการแข่งขันเป็นเด็กเนิร์ดชาวอินโดนีเซีย แก้ปัญหา 20 ข้อ ในเวลาไม่ถึง 20 นาที ทิ้งห่างที่สองเกือบเท่าตัว

หลังจบงานมีการจับกลุ่มคุยกันอีกสักพัก แล้วก็แยกย้ายกันไปกินข้าวกันเป็นกลุ่มๆ ผมเลือกไปกับกลุ่มอาเซียน มีจากมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ราวสิบกว่าคน พวกนี้อายุแค่ 20 ต้นๆ ทั้งนั้น แต่ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษดีมาก ทุกคนทำงานในบริษัทฝรั่งหมด มีคนจากฟิลิปปินส์ที่ทำงานอยู่ Engine Yard ด้วย (บริษัทด้าน Ruby ที่ดังมาก) ส่วนอีกคนหนึ่งมาจากมาเลเซีย ทำเว็บไซต์ SAYS.my เว็บเขามีสมาชิกกว่า 3 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและคนทำงาน อินเทอร์เฟสของเว็บเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และสมาชิกในเว็บก็สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีทั้งอังกฤษแท้และอังกฤษคาราโอเกะแบบมาเลเซีย ยังไม่พอ ทั้ง 3 ประเทศที่ว่ามาข้างต้น ต่างก็มีเครือข่ายนักพัฒนา Ruby & Rails ที่มีสมาชิกเกือบร้อยคน … ผมไม่แน่ใจว่าควรอิจฉาไหม แต่คิดว่าการอวยพรขอให้ประเทศเขาเจริญก้าวหน้า น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ลิงก์รวมสไลด์และวิดีโอของผู้พูดในงาน ReddotRubyConf

วันที่ 24 ผมตื่นแต่เช้า ตั้งใจไปจะเดินเล่นที่ Fort Canning Park ให้หายอยาก ราวๆ 6 โมงเช้า ผมออกมาเดินเล่นบริเวณหน้าโรงแรมและเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นั่นคือถูกสาวไทยนายหนึ่งเกี้ยวพาราสีแบบไม่ทันตั้งตัว แถมพนักงานโรงแรมยังให้ข้อมูลของผมในหนังสือเดินทางแก่เธอด้วย แต่เรื่องราวก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก เมื่อพบว่าเราต่างก็เป็นคนเหนือเหมือนกัน การอู้คำเมืองตามประสาคนบ้านเดียวกันช่วยให้สถานการณ์คลี่คลาย และเรื่องก็จบลงด้วยดี ช่วยให้ผมยังสามารถรักษาสถานภาพ “ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน” ได้อย่างหวุดหวิด

บันไดทางลง

บันไดบันไดทางลง

ผมเดินทางมาถึงสวนสาธารณะราว 7 โมงเช้า อากาศกำลังดี มีกองทัพอากงอาม่ากำลังรวยมวยจีนและรำกระบี่อยู่เป็นกลุ่มๆ บรรยากาศคล้ายๆ สวนลุมฯ บ้านเรา เพียงแต่ที่นี่มีต้นไม้ที่ใหญ่กว่ามากและเยอะกว่ามากๆ การได้มาอยู่ท่ามกลางป่าไม้ทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ เมื่อรู้สึกดีแบบนี้คงไม่มีกิจกรรมอะไรน่าทำเท่ากับการไปนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้ใหญ่ ผมคงไม่มีโอกาสได้มาที่นี่อีกแล้ว หากใครถามว่าชอบสถานที่ไหนในสิงคโปร์ที่สุด ผมคงตอบว่า Fort Canning Park (แม้จะยังไม่ได้ไปทั่วทั้งเกาะก็ตาม) ส่วนอาหารที่ชอบที่สุด คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “เย็นตาโฟเลือกเครื่องอิสระ” นั่นเอง และผมก็ไม่พลาดที่จะไปกินมันอีกมื้อเป็นการอำลาสิงคโปร์

ต้นไม้

ต้นไม้

บ่ายวันนั้นผมแบกกระเป๋าใบใหญ่เดินทางตามหา Singapore Hacker Space ตามลายแทง แต่เดินหาจนทั่ว Arab Street แล้วก็ไม่มีวี่แวว พอดีไปเจอกับกลุ่มของ Gregg Pollack, Ryan Bigg และ Mikel Lindsaar เหล่าคนดังในชุมชน Rails กำลังเดินเที่ยวถ่ายรูปอยู่ ผมก็เลยเข้าไปทักทายและขอตามไปเที่ยวด้วยหน้าตาเฉย

Arab Street

Arab Street

หลังจากแยกทางกันแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อ ใจอยากจะไปถ่ายรูปคู่กับ Merlion ตัวใหญ่ที่เกาะเซ็นโตซ่า แต่แบตกล้องถ่ายรูปดันขึ้นเตือนว่าใกล้จะหมดแล้ว อีกทั้งอากาศก็ร้อนอบอ้าวมาก ผมจึงเปลี่ยนแผนไปเดินเที่ยวแถวโรงละคร Esplanade แทน ระหว่างยืนบนอยู่สะพาน กำลังมองดูอาคารที่มีเรืออยู่บนดาดฟ้าตึก ก็มีแขกโพกหัวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย แล้วบอกว่าผมกำลังจะโชคดี แม้รู้ว่าเป็นมุขเสียเงิน แต่ก็อยากลองดูว่าเขาจะมาไม้ไหน เขาเขียนขยุกขยิกลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วพับมันส่งมาให้ผมถือไว้ สักพักเขาก็สาธยายถึงว่าผมจะโชคดียังไง มีอะไรที่ผมต้องระวังบ้าง สุดท้ายเขาก็ถามผมว่าชอบเลขอะไร ผมตอบว่าเลข 3 เขาก็ให้บอกสีที่ชอบอีก 3 สี ผมก็อึ้งไปสักพัก เพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองชอบสีอะไร แล้วจึงบอกรวบรัดไปว่าสีเขียว เหลือง น้ำเงิน จากนั้นเขาก็ให้ผมเปิดดูกระดาษที่ผมถืออยู่ในมือ ปรากฏคำว่า “3 Blue” รู้สึกทึ่งในความสามารถของชายคนนี้อยู่เหมือนกัน แล้วพี่แกก็เปิดกระเป๋ามีรูปพระพุทธรูป แล้วบอกว่า “please pay for Buddha” ผมถามว่าเท่าไหร่ เขาบอกว่าแล้วแต่จะให้ ผมเลยหยิบแบงค์ $2 ยื่นให้ เขาบอกว่าขอ $20 ได้ไหม แค่นี้ไม่พอกินหรอก เลยบอกเขาไปว่าคืนนี้ผมจะกลับเมืองไทยแล้ว เงินผมเหลือไม่เยอะ ขอเป็นค่ารถให้ผมเถอะ แล้วเราต่างก็กล่าวคำอำลากันตรงนั้น

ถ่ายรูปคู่กับ Merlion

ถ่ายรูปคู่กับ Merlion

ผมเดินถ่ายรูปต่ออีกเล็กน้อย เมื่อแบตกล้องหมด และตัวเองทนอากาศร้อนต่อไปไม่ไหว จึงคิดว่าการไปนั่งตากแอร์ที่สนามบินน่าจะเป็นความคิดที่เยี่ยมยอด นั่งรอที่สนามบินจนกระทั่งถึงเวลา 20:40 ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบินกลับ ผมไม่ลังเลที่จะสั่งอาหารบนเครื่องบิน แม้จะรู้สึกว่ามันแพง แต่ความจริงมันก็ยังถูกกว่าอาหารมื้อธรรมดาที่สิงคโปร์

รูปอาหาร

รูปอาหาร

กลับมาถึงสุวรรณภูมิ แม้จะต้องกลับมาเจอกับความไม่สอดคล้องกันของระบบขนส่งมวลชนเมืองไทย ความทับซ้อน ความขาดๆ เกินๆ ของ Airport Rail Link กับ MRT และอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ได้เห็นมา 4 วันในสิงคโปร์ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อผมจ่ายค่าตั๋วรถไฟฟ้าที่ถูกกว่า 3 เท่า ตัวอักษรไทยบนป้ายบอกทาง รอยยิ้มและเสียงภาษาไทยที่คุ้นหู ผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เมืองกรุงที่ขาดๆ เกินๆ แห่งนี้แหละคือความจริงที่คนไทยอย่างผมต้องเผชิญ

ขอขอบคุณ “โอเพ่นดรีม” ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ การเดินทางไปร่วมงาน ReddotRubyConf ครั้งนี้ของผมครับ